ประวัติกีต้าร์ เครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์เป็นที่นิยมมากว่า 5,000 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเอเชียกลาง เรียกว่าซิตารา (Sitara) เครื่องดนตรีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกีตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุ 3,300 ปี เป็นหินสลักของกวีอาณาจักรโบราณฮิตไตต์
คำว่ากีตาร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งมาจากภาษากรีกอีกทีคือคำว่า Kithara จากหลายแหล่งที่มาทำให้คำว่ากีตาร์น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน guit- คล้ายกับภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า ดนตรี และ -tar หมายถึง คอร์ด หรือ สาย คำว่า qitara เป็นภาษาอาหรับ ใช้เรียก Lute lute ส่วนคำว่า guitarra เกิดขึ้นเมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ถูกนำมาที่คาบสมุทรไอบีเรียโดย ชาวมัวร์
กีตาร์ในยุคปัจจุบัน มาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า cithara ประวัติ กี ต้า ร์ คลาสสิค ของชาวโรมัน ซึ่งนำเข้าไปแพร่หลายในอาณาจักรฮิสปาเนีย หรือสเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายมาเป็น เครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกว่า อูด (oud) นำเข้ามาโดยชาวมัวร์ในยุคที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรีย ในศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวียมี 6 สาย ในสมัย ค.ศ. 800 เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มชาว (ไวกิง)
ค.ศ. 1200 กีตาร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กิตาร์ราโมริสกา หรือกีตาร์ของชาวมัวร์ มีลักษณะกลม ตัวคอกว้าง มีหลายรู กับกิตาร์ราลาตินา ซึ่งรูปร่างคล้ายกีตาร์ในปัจจุบัน คือมีรูเดียวและคอแคบ รูปร่างลักษณะของกีต้าร์ ในศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวสเปน ที่เรียกว่าบิอูเอลา เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกีตาร์ในปัจจุบัน มีความผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอูดของชาวอาหรับและลูตของยุโรป แต่ได้รับความนิยมในช่วงสั้น ๆ พบเห็นจนถึง ค.ศ. 1576
เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มีรูปลักษณ์เหมือนกีตาร์ในปัจจุบัน เกิดในช่วงยุคปลายของสมัยกลางหรือยุคต้นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นช่วงที่มีการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายกันทั่วโลก ในยุคนั้นกีตาร์มีทั้งแบบ 4 และ 5 สาย สำหรับกีตาร์ที่มี 6 สาย ระบุว่ามีขึ้นใน ค.ศ. 1779 เป็นผลงานของกาเอตาโน วีนัชชา (Gaetano Vinaccia) ในเมืองเนเปิล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกันว่าอาจเป็นของปลอมสำหรับตระกูลวินาซเซียมีชื่อเสียงในการผลิตแมนโดลินมาก่อน
กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกเริ่มผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยจอร์จ โบแชมป์ (George Beauchamp) ได้รับสิทธิบัตรใน ค.ศ. 1936 และร่วมกับริกเค่นแบ็กเกอร์ (Rickenbacker) ตั้งบริษัท Electro String Instrument ส่วนประกอบ ของ กี ต้า ร์ คลาสสิค ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าในปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1960 จอห์น เลนนอน สมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ใช้กีตาร์ยี่ห้อนี้ ส่งผลให้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในกลุ่มนักดนตรีในยุคนั้น และในปัจจุบันบริษัทริกเค่นแบ็กเกอร์ เป็นบริษัทผลิตกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ประวัติกีต้าร์ ประเภทของกีตาร์
กีตาร์โปร่ง
- ประวัติกีต้าร์ Renaissance guitars
- มีขนาดเล็กกว่ากีตาร์คลาสสิก ให้เสียงที่เบากว่ามาก ใช้สายไนล่อน แบบเดียวกับกีตาร์คลาสสิก นิยมเล่นในสมัยโบราณ ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยม
- Classical guitars
- กีตาร์คลาสสิก (Classic Guitar) หรือกีตาร์สายไนล่อน นิยมเล่นเพลงบรรเลง แบบ single note (finger-picking) ดังนั้น คอกีตาร์คลาสสิก จึงมีความกว้างกว่ากีตาร์ไซด์มาตรฐาน ทั่วไป
- Nylon String ชนิด Hybrid (หรือกีตาร์ลูกครึ่งระหว่าง กีตาร์คลาสสิกสายไนล่อน กับ กีตาร์โปร่งสายเหล็ก)
- แม้จะใช้สายกีตาร์ชนิดไนล่อน แบบเดียวกับกีตาร์คลาสสิก กีต้าร์ ประวัติ แต่สัดส่วน องค์ประกอบหลายอย่าง จะต่างจากกีตาร์คลาสสิก เช่น คอที่เล็กกว่า เพื่อสะดวกในการจับด้วยมือซ้าย
มีภาคไฟฟ้า, คอมี truss rod (เหล็กดามคอ) เพื่อใช้ปรับองศาคอได้, มีคอแบบ cut away, ลำตัว body จะบางกว่ามาตรฐาน เป็นต้น กีตาร์สายไนล่อนชนิดนี้ สามารถเล่นแนวหรือสไตล์เพลงได้กว้างกว่า กีตาร์สายไนล่อนชนิด Classic Guitar
- Flat-top (steel-string) guitars หรือที่รู้จักกันในชื่อ กีตาร์โปร่ง
- กีตาร์โปร่งสายเหล็กมีหลาย ๆ รูปทรง เช่น กีตาร์ทรง Dreadnought (D), Orchestra Model (OM), Grand Concert (GC), Grand Auditorium (GA), Jumbo (J), และขนาด 3/4 กีตาร์ขนาดเล็ก
กีตาร์โปร่งสายเหล็กต่างกีตาร์คลาสสิกอยู่หลาย ๆ ประการ เช่น วิธีการเล่น, สายกีตาร์ที่ใช้, โครงสร้างภายในตัวกีตาร์หรือ Bracing, เหล็กดามคอหรือ truss rod เพื่อปรับแต่งองศาคอได้ เนื่องจาก กีต้าร์ คือ แรงดึงของสายกีตาร์มีมาก อาจจะทำให้องศารอเปลี่ยนได้ ผู้เล่นจึงสามารถปรับแต่งองศาได้ตามความชอบ, กีตาร์โปร่งสายเหล็ก (Flat-top) ถูกสร้างมามากกว่า 180 ปี (หลังมีกีตาร์สานไนล่อน) เนื่องจากในวงดนตรี มีเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ เข้ามาร่วมเล่นด้วย และประกอบกับสไตล์เพลงมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้เล่นจึงต้องการกีตาร์ที่มีเสียงดัง กังวานมากพอ ที่สามารถใช้รวมเล่นกับเครื่องดนตรีประเภทอื่น ๆ ดังนั้น กีตาร์โปร่งสายเหล็กจึงมีเอกลักษณ์ที่เสียงดังกังวาน กีตาร์โปร่งสายเหล็กสามารถเล่นได้กว้างหลากหลายสไตล์เพลง เช่น pop, folk, Bluegrass, finger-style, jazz, blues เป็นต้น กีตาร์โปร่งที่ดี จะต้องให้เสียงที่ดัง กังวาน มีความ balance ของทุก ๆ ย่านเสียง ทุก ๆ สายกีตาร์ต้อง balance กัน
- Archtop guitars
- จุดเด่นคือ ด้านหน้าของกีตาร์ (top) จะโค้ง กีต้าร์ คลาสสิค โพรงเสียงไม่เป็นช่องกลม แต่จะเป็นรูปตัว F สะพานยึดสายหรือ Bridge จะแตกต่างจาก กีต้ารโปร่ง
(คนไทยนิยมเรียกว่า หางปลา) นิยมใช้เล่นในดนตรีแจ๊ส และ Blues เอกลักษณ์ของเสียง เสียงของ arch top guitar จะมีเสียงโน้ตห้วน สั้น คือ หางเสียงจะไม่ยาวเหมือกีตาร์โปร่งสายเหล็กทั่วไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหมาะกับการเล่นเพลง Jazz, Blues
- Resonator
- หรือ Resophonic หรือ dobro คล้ายกับกีตาร์ Flat-top นิยมเล่นเพลงสไตล์ Country
- 12 string guitars
- จุดเด่นคือ จะมีสายกีตาร์ 12 สาย นิยมใช้เล่นในสไตล์เพลง cowboy, country นิยมใช้ตีคอร์ด ไม่นิยมใช้เล่นแบบ picking
- Acoustic bass guitars กีต้าร์มีลักษณะอย่างไร
- เป็นกีตาร์เบสในรูปแบบอคูสติก มีสายและเสียงเหมือนกัน โน้ตที่เล่นจะใช้ “กุญแจฟา” ให้เสียงทุ้มต่ำ นุ่มนวล
- Tenor guitars
- มี 4 สาย
- Harp guitars
- จะมีสาย harp เพิ่มขึ้นมา จากปกติที่มี 6 สาย สาย harp จะให้เสียงต่ำหรือเสียงในช่วงเบส ปกติจะไม่มีฟิงเกอร์บอร์ดหรือเฟร็ต
- Ukulele Guitar
- เป็นกีตาร์ ขนาดเล็ก มี 4 สาย
กีตาร์ไฟฟ้า
แบ่งตามโครงสร้างของลำตัวกีตาร์ (Body) อาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ
- กีตาร์ตัวตัน (Solid Body) ประเภทของกีต้าร์
- หมายถึง กีตาร์ไฟฟ้าปกติที่ลำตัวมีลักษณะตัน ไม่มีการเจาะช่องในลำตัวกีตาร์เหมือนอย่างกีตาร์โปร่ง หรือ อะคูสติกกีตาร์ แต่บริเวณลำตัวจะมีตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีตาร์ (Pickup) ขณะที่ดีด เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องขยายเสียง (Amplifier) ต่อไป โดยทั่วไป ตัวรับสัญญาณจะมี 2 ประเภท คือ ตัวรับสัญญาณแบบแถวเดี่ยวที่เรียกว่า Single Coil และแบบแถวคู่ที่เรียกว่า Humbucker
- กีตาร์ลำตัวกึ่งโปร่ง (Semi-Hollow Body)
- เป็นกีตาร์ไฟฟ้าที่มีลักษณะโครงสร้างส่วนกลางของลำตัวในแนวเดียวกับคอกีตาร์ มีลักษณะตัน (แต่มีการเจาะช่องเพื่อใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีตาร์ (Pickup) เช่นเดียวกับกีตาร์ตัวตัน) บริเวณส่วนข้างของกีตาร์มีการเจาะช่อง (Sound Hole) เอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียงมากกว่ากีตาร์ตัวตัน ซึ่งจะให้เสียงที่เป็นอคูสติกมากขึ้น นิยมใช้ในดนตรีแจ๊สหรือบลูส์ เป็นกีตาร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อลดเสียงรบกวนที่เรียกว่า Feedback ซึ่งเกิดจากกีตาร์ไฟฟ้าลำตัวโปร่ง (กล่าวคือ ยังมีเสียงรบกวนบ้างแต่น้อยลงกว่าเดิม)
- กีตาร์ลำตัวโปร่ง (Hollow Body) กีต้าร์ไฟฟ้า
- กีตาร์ไฟฟ้าที่มีการเจาะช่องเอาไว้เพื่อให้เกิดการกำทอนของเสียง (Sound Hole) เช่นเดียวกับกีตาร์โปร่งหรืออคูสติก และกีตาร์ลำตัวกึ่งโปร่ง ปกติช่องดังกล่าวมักจะอยู่ด้านข้างของลำตัวกีตาร์ เนื่องจากบริเวณกลางลำตัวจะมีการใส่ตัวรับสัญญาณแรงสั่นสะเทือนของสายกีตาร์ (Pickup) เช่นเดียวกันกับกีตาร์ตัวตัน ซึ่งผลของการที่มีช่องกำทอนเสียง ทำให้ลักษณะของเนื้อเสียงที่ได้เป็นอคูสติกมากกว่า กีตาร์ Semi-Hollow Body แต่หากขยายเสียงให้ดังมากจะก่อให้เกิดเสียงรบกวนที่เรียกว่า Feedback กีตาร์ประเภทนี้มักจะนิยมใช้กับดนตรีแจ๊สหรือบลูส์เป็นส่วนใหญ่
ส่วนประกอบของ กีตาร
- เมื่อเทียบกับประเภทของไม้ที่ถูกนำมาใช้ด้านหน้าของกีตาร์แล้ว องค์ประกอบกีต้าร์ ไม้ที่ถูกนำมาใช้เป็นแผ่นหลังและข้างนั้น มีมากมายหลายชนิดกว่า อาจแบ่งออกกว้าง ๆ เป็นตระกูล Rosewood, Walnut, Maple, Koa, Mahogany รวมไปถึงไม้แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่กำลังเป็นที่นิยม และพวกที่ยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก เพื่อความสะดวกและเข้าใจได้ง่าย ผู้เขียนจะแบ่งประเภทของไม้ออกเป็นจำพวกคร่าว ๆ ดังนี้
- ไม้ข้าง และไม้หลัง (back & side) ของกีตาร์
- Rosewood
- Mahogany
- Koa
- Maple ลักษณะของกีต้าร์
- Walnut
- Ziricote (Cordia Dodecandra)
- Macassar Ebony (Diospyrus Celebica)
- Myrtewood
- African Blackwood
- African Paduk
- Imbuia
- Cherry
- ไม้หน้า (Top) ของกีตาร์
- Sitka Spruce
- Englemann Spruce
- Red Spruce
- German Spruce
- Alpine Spruce
- Cedar
- Port Orford Cedar
- Redwood
- Western Larch ประวัติกีต้าร์